นั่งสมาธิ หรือการทำสมาธิ คือการฝึกปฏิบัติที่ใช้ความตั้งมั่น จดจ่อ และแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงบ เกิดความรู้สึกตัวหรือมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น
การทำสมาธินั้นปฏิบัติกันมานานนับพันปี โดยแรกเริ่มจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทางศาสนา ตามหลักคำสอนหรือความเชื่อของแต่ละศาสนา ซึ่งปัจจุบันการทำสมาธินั้นแพร่หลายไปทั่วโลก โดยนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น ลดความเครียด หรือช่วยผ่อนคลายทั้งกายและใจ รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและการการทำงาน
วิธีที่จะทำให้เกิดสมาธิมีอะไรบ้าง?
การทำสมาธิ หรือวิธีการผ่อนคลายที่มีการทำสมาธิเป็นส่วนประกอบมีหลายวิธี โดยทุกวิธีจะมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสงบและความสันติสุขภายในจิตใจ
วิธีที่ทำเพื่อให้เกิดสมาธิมีหลายวิธี ได้แก่
- วิธีทำสมาธิด้วยมโนภาพ (Guided Meditation) หรือการสร้างมโนภาพ (Visualization) เป็นวิธีที่จะให้ผู้ปฏิบัตินึกภาพหรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย โดยอาจใช้สิ่งกระตุ้นประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น กลิ่น ภาพ สัมผัสและเสียงประกอบ ซึ่งอาจมีผู้สอนหรือผู้ที่ชำนาญนำการปฏิบัติ
- มันตราสมาธิบำบัดหรือการสวดมนต์ (Mantra Meditation) เป็นวิธีที่จะให้ผู้ปฏิบัติท่องบทสวด วลี หรือคำ ซ้ำ ๆ เสมือนเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความคิดที่ฟุ้งซ่านหรือกวนใจ และทำให้เกิดสมาธิ
- การฝึกสติหรือการเจริญสติ (Mindfulness Meditation) เป็นวิธีฝึกทำสมาธิเพื่อให้เกิดสติ หรือมีความรู้สึกตัวและอยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะได้ฝึกให้ตนเองเกิดสติหรือรู้สึกตัวทั่วพร้อม ด้วยการสังเกตและจดจ่ออยู่กับอาการทางร่างกายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำสมาธิ เช่น ลมหายใจที่ผ่านปลายจมูก รวมไปถึงความคิดและอารมณ์ โดยวางใจเป็นกลาง เพียงแค่รับรู้และปล่อยวาง
- ชี่กง (Qi gong) คือ วิธีฝึกฝนของชาวจีนที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เป็นวิธีการฝึกที่ผสมผสานระหว่างการทำสมาธิ การผ่อนคลาย การเคลื่อนไหวของร่างกาย และการหายใจประกอบกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาและฟื้นฟูให้ร่างกายกายและจิตใจเกิดความสมดุล
- ไทชิ (Tai chi) ศิลปะการต่อสู้ของจีน เป็นการฝึกฝนด้วยท่วงท่าที่มีการเคลื่อนไหวช้า ๆ นุ่มนวลและสง่างามพร้อมกับฝึกการหายใจ
- การฝึกสมาธิแบบ Transcendental Meditation หรือ TM เป็นการฝึกทำสมาธิด้วยการท่องคำหรือวลีที่ได้รับจากผู้สอน ซึ่งการฝึกวิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้ปรับเข้าสู่สภาวะของการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และช่วยให้จิตใจเกิดความสงบ โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามหรือความเข้มข้นในการฝึกมาก
- โยคะ (Yoga) เป็นการฝึกชุดท่าท่างพร้อมกับฝึกการหายใจ เป็นวิธีปฏิบัติที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดความยืดหยุ่นและแข็งแรง และช่วยให้ใจสงบและเกิดสมาธิการนั่งหลับตา สั่งการให้สมองหยุดคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพียงแค่ 5 นาที ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรามีสติมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้สุขภาพกายและใจของเราดีขึ้นจนน่าตกใจอีกด้วย
ใครที่ชอบมีเรื่องเครียด เรื่องให้ต้องคิดมาก เรื่องให้ต้องกังวลมาบั่นทอนสุขภาพจิตใจของเราบ่อย ๆ จนบางทีกระทบถึงสุขภาพกายทำให้ป่วยออด ๆ แอด ๆ ด้วย ลองนั่งสมาธิดู การนั่งสมาธินั้นมีพลังมหัศจรรย์ที่จะฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงขึ้น โดยที่เราแทบไม่ต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะใด ๆ เลย แต่จะจริงเท็จแค่ไหน ต้องไปไขข้อข้องใจกันดู มาดูข้อดีการทำสมาธิกัน
- 1. ทำให้จิตใจแจ่มใส เบิกบานขึ้น
การนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันนั้น ข้อดีอย่างแรกที่เราจะได้รับก็คือ มีสุขภาพจิตดีขึ้น สามารถจัดการกับด้านลบของตัวเองได้ เช่น เศร้า โกรธ เครียด หดหู่ กลัว และความวิตกกังวล ซึ่งจากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Social Cognitive and Affective Neuroscience เผยว่า การนั่งสมาธิเป็นการกระตุ้นสมองให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น ยับยั้งการทำงานของสมองส่วนกลาง หรือส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (Amygdala) ทำหน้าที่สร้างอารมณ์ด้านลบ เช่น โมโห เกลียด เศร้า กลัว และกระวนกระวายใจ ให้ทำงานน้อยลง ด้วยเหตุนี้ คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำส่วนใหญ่มีแนวโน้มเป็นคนมีอารมณ์แปรปรวนน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยนั่งสมาธิ หรือไม่เคยนั่งสมาธิเลย
2. ความจำดีขึ้น
ตารางงานของใครในแต่ละวันมีเรื่องยิบย่อยให้จดจำเยอะ ทำให้บางครั้งหลง ๆ ลืม ๆ เรื่องสำคัญบางเรื่องไปโดยไม่รู้ตัว ขอแนะนำเลยว่า ให้นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาทีให้ได้ทุกวัน เพราะมีผลการวิจัย เผยว่า ผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ เช่น พระสงฆ์ หรือ นักปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่จะมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น สามารถจดจำรายละเอียดปลีกย่อยถึงสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีการฝึกสมองให้คิดจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในปัจจุบัน จึงทำให้พวกเขาขี้หลงขี้ลืมน้อยมาก
3. เราจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
การนั่งสมาธิจะทำให้เราเป็นคนใจเย็นลง ใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้มากขึ้น จากผลการวิจัยส่วนใหญ่ เผยว่า ผู้ที่ฝึกฝนสมาธิเป็นประจำ เช่น พระสงฆ์ หรือนักปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่จะเป็นคนใจเย็น สงบนิ่ง และมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สาเหตุเป็นเพราะคลื่นสมองอัลฟ่าทำการเชื่อมโยงกับความรู้สึกผ่อนคลาย และเป็นสมาธิ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์ด้านลบ เช่น โกรธ เศร้า อิจฉาริษยา เครียด และกังวล ซึ่งเป็นอารมณ์ที่นำไปสู่ความคิดอคติ หรือ คิดขัดแย้งกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีเหตุผล
4. สุขภาพสมองแข็งแรงขึ้น
การนั่งสมาธิช่วยฟื้นฟูสุขภาพสมองให้มีความแข็งแรงขึ้นได้ เห็นได้จากหลายงานวิจัยที่มีความเห็นตรงกันว่า การนั่งสมาธิติดต่อกันนาน 8 สัปดาห์ส่งผลดีต่อสุขภาพสมอง โดยที่เราจะสามารถจดจำอะไรได้มากขึ้น สามารถจัดการกับอารมณ์ด้านลบของตัวเองได้ดีขึ้น เช่น ซึมเศร้า เครียด กังวล เป็นต้น ซึ่งอารมณ์ด้านลบเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพสมองให้ถดถอยลงเรื่อย ๆ เช่น ขี้ลืม พูดจาติดขัด อารมณ์แปรปรวน คิดอ่านช้า เป็นต้น
5. หัวใจแข็งก็แรงขึ้นด้วย
ความเครียดเป็นศัตรูตัวฉกาจของสุขภาพหัวใจอย่างมากเลยนะคะ เพราะทุก ๆ ครั้งที่เรารู้สึกเครียดขึ้นมา ความดันเลือดในร่างกายของเราจะสูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ หากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ สุขภาพหัวใจต้องแย่แน่ เอาเป็นว่า ขอให้ลองใช้วิธีนั่งสมาธิจัดการกับความเครียดดู เพราะจากผลการวิจัยของ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา เผยว่า การนั่งสมาธิสามารถลดระดับฮอร์โมนเครียดในร่างกายได้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความดันในเลือดให้ลดลงด้วย นั่นหมายถึงว่า หากหลอดเลือดหัวใจมีการไหลเวียนของเลือดอยู่ในระดับที่ปกติแล้ว หัวใจก็ไม่ต้องทำงานหนักขึ้น
6. เจ็บป่วยยาก
บางครั้งอาการเจ็บป่วยที่เรามีนั้น อาจเป็นผลกระทบมาจากสุขภาพใจของเราที่กำลังอ่อนแอนะคะ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายมากเลยคือ อาการเจ็บป่วยที่มาจากจิตใจอ่อนแอนั้น กินยาเท่าไรก็ไม่หายขาด แค่อาการทุเลาลงแค่นั้น เพราะจากผลการวิจัย เผยว่า การนั่งสมาธิช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค ทำให้เราเจ็บป่วยยากขึ้น โดยผู้ที่นั่งสมาธิติดต่อกัน 8 สัปดาห์นั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดยากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลย นอกจากนี้แล้ว การนั่งสมาธิยังส่งผลให้วัคซีนมีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกด้วย โดยที่ในรายที่นั่งสมาธินั้น ร่างกายจะตอบสนองกับวัคซีนได้ดีกว่า
7. ช่วยชะลอวัย
จากผลการวิจัยในกลุ่มอาสาสมัครผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็ง เผยว่า การนั่งสมาธิเป็นการเพิ่มความยาวให้กับสายดีเอ็นเอของโครโมโซมแห่งวัย หรือที่เรียกว่า เทโลเมียร์ (Telomere) เพราะการนั่งสมาธิจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งเอนไซม์เทโลเมอรเรส (Telomerase) ออกมาซ่อมแซมส่วนของเทโลเมียร์ที่ถูกทำลาย ไม่ให้สายเทโลเมียร์หดสั้นลงไปเรื่อย ๆ จึงสามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้
ในทางกลับกัน หากร่างกายของเรามีสายเทโลเมียร์ที่หดสั้นลงเรื่อย ๆ ก็จะส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายเสื่อมก่อนวัยอันควร จึงทำให้เรามีโอกาสป่วยเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ และโรคเบาหวาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำจึงดูอ่อนกว่าวัย ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพ
ทั้งนี้ การนั่งสมาธิเพื่อให้ได้ผลที่ดีต่อสุขภาพกายและใจของเราอย่างแท้จริงนั้น เราควรตั้งใจทำให้ได้เป็นประจำทุกวัน เริ่มต้นแรก ๆ อาจลองทำแค่ 5 นาทีดูก่อนก็ได้ เพื่อเป็นการปรับความเคยชินให้ร่างกายฝึกอยู่ในความสงบซึ่งหากเราสามารถทำได้เป็นประจำทุกวันแล้ว ก็ค่อยเพิ่มเวลาให้มากขึ้น